บทความภาคต่อ....
ผม พบว่าในชีวิตประจำวันมีโอกาสทำสมาธิได้บ่อย โดยเฉพาะเวลานั่งรถเมล์กลับบ้าน หรือต้องนั่งรถยาวๆข้ามจังหวัด
ผมไม่เกี่ยงว่าจะต้องนั่งสมาธิแบบหลับตาหรือลืมตา แค่ปล่อยให้ใจไปผูกอยู่กับลมเป็นสำคัญ
แม้กระทั่งก่อนนอนก็นึกถึงลมเรื่อยๆ ฟุ้งซ่านบ้าง ปลอดโปร่งบ้าง
ขอให้บอกตัวเองได้ว่า ยังเต็มใจอยู่กับลมเป็นพอ
บางคืนผมมีประสบการณ์ไม่ดี ไปเพ่งจับลมหายใจแน่นเกินไป เกิดความอึดอัด ตาแข็ง นอนหลับไม่สนิท ผมก็จำไว้เป็นบทเรียน คืนต่อมาฝึกใหม่ สังเกตที่ใจเป็นหลักว่าขณะรู้ลมอยู่นั้น มีความสบายหรืออึดอัด และค้นพบว่าความแข็งขืนฝืนตัวจะเริ่มเกิดเมื่อตั้งอกตั้งใจเกินพอดี แทนที่จะ ‘รับรู้เฉยๆ’ กลับไป ‘เพ่งจ้องให้รู้ชัดๆ’ เอา
ผม ได้ข้อสรุปว่าถ้าจะมีสติรู้ลมก่อนนอน ต้องระวังเรื่องอาการจดจ้อง และการระวังที่ดีที่สุด ก็คือสังเกตตั้งแต่แรกว่ากายใจยังสบายอยู่ไหม เมื่อไรอึดอัดไม่สบาย ต้องรู้เท่าทัน ก่อนมันจะลุกลามใหญ่โต
ตาม ธรรมชาตินะครับ เมื่อก่อนนอนหลับเราเอาใจไปผูกอยู่กับลมหายใจหลายๆคืนเข้า พอตื่นนอนใจจะนึกถึงลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ ผมจำได้ดีว่าช่วงแรกๆที่ฝึกสติรู้ลมหายใจ ตื่นนอนเมื่อไร กายจะลุกขึ้นนั่งตรง ลากลมหายใจยาว และจิตจะทำงานเป็นอัตโนมัติ ตื่นตัวรับรู้แบบที่ไม่ฝืน ไม่เพ่งเล็ง ไม่บังคับแม้แต่นิดเดียว ปลอดโปร่งเป็นสุขดีแท้
ความ เชื่อมั่นจริงๆว่ามาถูกทาง เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อจิตตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ เช้าตรู่นั้นผมนอนอยู่ในบ้านริมทะเลของคุณพ่อ และตื่นขึ้นด้วยความเคยชินที่จะระลึกถึงลมหายใจ ทว่าครั้งนั้นแปลกและแตกต่างตรงที่จิตส่องสว่าง เหมือนกลายเป็นดวงแสงนวลขนาดใหญ่ กระจายรัศมีอาภาเป็นวงกว้าง รู้สึกถึงความแช่มชื่นปรีดา ยิ่งกว่าที่เราอยากยิ้มกว้างที่สุดด้วยเรื่องน่ายินดีที่สุด รสวิเวกแห่งจิตที่ได้ลิ้มยามนั้นมันแปลก หน้าท้องคล้ายพองออกได้มากกว่าปกติเป็นสองเท่า ลมหายใจที่ถูกลากยาวเข้ามา ปรากฏกระจ่างเป็นทางชัดราวกับสายน้ำตกกลางอากาศว่าง สติเต็มตื่น รับรู้ ณ ขณะแรกสุดแห่งต้นลมเข้าไปจนกระทั่ง ณ ขณะท้ายสุดแห่งปลายลมออก
จิตตั้งมั่นเด่นดวงเป็นผู้รู้ผู้เห็นว่าสายลมมีอยู่ แต่ไม่มีบุคคล!
ผมมาทราบในภายหลังว่าที่เห็นลมหายใจอย่างชัดเจน ประดุจนิมิตสายน้ำเช่นนั้น ตำราเรียก ‘อุคหนิมิต’ ซึ่งปรากฏในสมาธิเฉียดฌาน และนิมิตนั้นก็เกิดจากของจริง สัมผัสจริง ซึ่งตาเนื้อเห็นไม่ได้ ต้องอาศัย ‘ตาใน’ คือสัมผัสทางจิตเข้าไปรู้เห็น
ประโยชน์ ของการรู้ลมหายใจโดยความเป็นอุคหนิมิตในขั้นอุปจารสมาธิ คือทราบขณะแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของลมหายใจอย่างแจ่มแจ้ง จิตเฝ้ารู้เฝ้าดูความเกิดดับอย่างถนัด และ ณ ขณะแห่งความรู้ชัดเช่นนั้นเอง ไม่มีใครมาหลอกได้ว่าลมหายใจเป็นเรา เราเป็นเจ้าของลมหายใจ
ตราบเท่าที่จิตตั้งมั่นรู้เห็นอยู่เช่นนั้นเอง คือขณะแห่งความเป็นสัมมาสมาธิ ผมไม่เคยเข้าใจคำว่า ‘สัมมาสมาธิ’ กระทั่งเกิดประสบการณ์ตรงในเช้าตรู่ดังกล่าว และเมื่อเข้าใจแล้ว ก็เกิดกำลังใจที่จะเดินหน้าหาความคืบหน้ากันต่อไป
ก็เมื่อใจมั่น กระทั่งมั่นใจแล้วว่ามาถูกทาง ใครล่ะจะอยากถอยหลังหรือกระทั่งคิดหยุดเดินหน้า
โดย... ดังตฤณบทความจาก...
http://www.dlitemag.com