livingroom
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

livingroom


 
บ้านLatest imagesสมัครสมาชิก(Register)เข้าสู่ระบบ(Log in)

 

 ฝึกสติรู้ลมหายใจ ภาค1

Go down 
ผู้ตั้งข้อความ
Admin
Admin
Admin
Admin


จำนวนข้อความ : 1531
Join date : 12/06/2009

ฝึกสติรู้ลมหายใจ ภาค1 Empty
ตั้งหัวข้อเรื่อง: ฝึกสติรู้ลมหายใจ ภาค1   ฝึกสติรู้ลมหายใจ ภาค1 I_icon_minitimeWed Jun 17, 2009 11:49 am

ก่อนเกิดเป็น "ดังตฤณ"


ต้องเจริญสติไปถึงไหนมือใหม่จึงจะมั่นใจว่ามาถูกทาง?


นี่คือข้อกังขาสามัญที่ต้องเกิดขึ้นกับมือใหม่ทุกคน ซึ่งผมก็เช่นกัน

บนเส้นทางสายนี้ คุณจะไม่รู้สึกมั่นใจจนกว่าจะมีใจมั่น นั่นคือจิตอยู่ในสภาพตั้งมั่นรู้ มากกว่าที่จะซัดส่ายคิดไปเรื่อย

ภาวะ ที่จิตฟุ้งซ่านซัดส่ายไปเรื่อยนั่นแหละ ต้นเหตุสำคัญของความไม่แน่ใจ แม้จะเกิดสติรู้เห็นกายใจบ้างแล้ว ก็เหมือนมีคลื่นรบกวน แทรกแซงความรู้เห็น ตลอดจนชะล้างความมั่นใจให้หายเกลี้ยงร่ำไป

ช่วงสามเดือนแรกของการฝึกตามตำรา คอยระลึกเท่าที่จะนึกได้ว่าตอนนี้กำลังหายใจออก ตอนนี้กำลังหายใจเข้า ผม ไม่มีความมั่นใจเลยว่ามาถูกทาง บางครั้งคัดแน่นอึดอัดไปหมด บางครั้งถามตัวเองว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ บางครั้งสงสัยว่าจะต้องเห็นลมหายใจให้เป็นภาพหรือเอาแค่รู้ว่าหายใจ บางครั้ง งงว่าต้องรู้เฉพาะจุดกระทบของลมตรงไหน ฯลฯ

ผม มีแต่ศรัทธาว่าทำตามพระพุทธเจ้าสอนเป็นหลักใจอย่างเดียว เรียกว่ามีความสว่างหนุนหลัง ที่เหลือในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยคลางแคลง เรียกว่าเดินหน้าอยู่บนก้าวย่างที่เป๋ไปเป๋มาเกือบตลอด

อย่างไรก็ตาม ส่วนลึกมีความเชื่อว่าเราทำตามพระพุทธเจ้าสอน แล้วเราก็สังเกตไปเรื่อยๆว่าอย่างไหนก้าวหน้าอย่างไหนก้าวหลัง อย่างไหนเทียบเคียงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสได้ ก็น่าจะเป็นการเพียงพอ ผมไม่พยายามแสวงหาครูบาอาจารย์ อาจเป็นเพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหน และสมัยนั้นสื่อประชาสัมพันธ์สถานฝึกกรรมฐานก็ไม่แพร่หลายเหมือนเดี๋ยวนี้

ผมมักนั่งหลับตาระลึกถึงลมหายใจเป็นชั่วโมง เพียงเพื่อตอนลืมตากลับ ‘รู้สึก’ ถึงลมหายใจเข้าออกได้แจ่มชัดกว่าเป็นไหนๆ หลายเดือนกว่าจะฉุกคิด พยายามใช้ปัญญาสำรวจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นไปได้

ผม จับสังเกตได้ทีละนิดทีละหน่อยว่าทุกครั้งเมื่อปิดตาลง จะเกิดอาการเล็งจิตเข้าไปที่จมูก หรือบางทีก็หว่างคิ้ว หรือบางทีก็ตรงกลางๆบริเวณส่วนที่กลวงๆในตัว ด้วยความคาดหวังว่าจะสงบลงทันใด เข้าใจว่าความคิดเป็นสิ่งบังคับให้สงบระงับกันได้

ส่วน ลมหายใจ ผมก็ไปสำคัญว่ามันต้องยาว ต้องลึกทุกครั้ง ถึงจะนับว่าดี ผลคือเกิดความอึดอัดคัดแน่น คับแคบตั้งแต่แรกเริ่มปิดตาตั้งใจทำสมาธิกันเลยทีเดียว

เทียบ กับตอนลืมตา สายตาผมจะแลไปตรงๆ ไม่โฟกัสที่จุดจุดหนึ่งข้างหน้า ทำให้จิตไม่เล็งสั้นๆแคบๆ มีความเปิดกว้างยิ่งกว่าตอนปิดตาเล็งจมูกเยอะ จากนั้นจึงนึกถึงลมหายใจเล่นๆ ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่พยายามบังคับว่าต้องเลิกฟุ้งซ่านในทันที อีกทั้งไม่คาดหวังว่าลมจะต้องดี ต้องยาวท่าเดียว จุดเริ่มต้นจึงสบายใจกว่ากันเยอะ

ผม สังเกตต่อว่าพอสบายใจแล้วระลึกเท่าที่จะนึกออกว่า ลมหายใจกำลังเข้า ออก หรือหยุด แค่นั้นเอง เดี๋ยวก็กลายเป็นความเคยชิน แม้จะเหม่อลอยไปบ้าง ลมหายใจก็เหมือนปรากฏอยู่ในความรับรู้เอง ไม่ต้องเพ่งพยายามให้เหนื่อย

ต่อ มาผมอ่านจากหลายแห่ง พบว่ากล่าวไว้ตรงกันว่าหลักการทำสมาธิที่ถูกนั้น จะต้องได้ความรู้สึกเป็นสุข อิ่มใจ สบายตัว ไม่ใช่เป็นทุกข์ แห้งเหี่ยว เนื้อตัวแข็งกระด้างแต่อย่างใด จึงมั่นใจว่าการเริ่มต้นที่ดี ควรทำอย่างไรก็ได้ให้ห่างไกลจากความเคร่ง เพ่ง และเกร็ง

จับ หลักได้เช่นนั้น ผมก็สนุกกับการทำสมาธิมากขึ้น ไม่ดันทุรังนั่งหลับตาขัดสมาธินานๆ เมื่อใดมีโอกาสนั่งเก้าอี้ได้ก็เอาเลย จะอยู่ในห้องนอนหรือรอใครในที่สาธารณะก็ตาม ผมเริ่มด้วยการสำรวจสังเกตว่าฝ่าเท้างองุ้มไหม ถ้างุ้มหรือเกร็งอยู่ก็คลายออกเสีย วางเท้าแบราบกับพื้นอย่างสบาย

มัน ได้ผลทุกครั้ง พอฝ่าเท้าสบาย พื้นจิตพื้นใจก็พลอยสบายตาม แสดงให้เห็นชัดว่าอาการของฝ่าเท้าสะท้อนได้ว่าสภาพจิตของเราเครียดหรือสบาย อยู่ เมื่อทำให้เท้าสบาย จิตก็หายเครียดไปเยอะ

จาก นั้นจึงสำรวจว่าฝ่ามือผ่อนคลายหรือกำอยู่ ถ้ากำก็คลายเสีย ให้เกิดความรู้สึกผ่อนพักสบายไม่ต่างจากฝ่าเท้า และถึงที่สุด ผมสำรวจขั้นสุดท้ายว่าทั่วใบหน้าผ่อนคลาย หายขมวด หายตึงหรือยัง แค่สำรวจเฉยๆก็เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อทั้งใบหน้าคลายออกหมดได้

เมื่อ ฝ่าเท้า ฝ่ามือ และใบหน้าคลายจากความฝืนทั้งหมด อุปสรรคของสมาธิก็หายไป จิตเปิดกว้างสบาย พร้อมจะรู้ พร้อมจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับกายใจบ้างแล้ว คุณลองดูตอนนี้ก็จะเห็นจริงตอนนี้เลยเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา ผมใช้ความสบายตัวสบายใจเป็นฐานในการรู้ลมตามจริงเสมอ กล่าวคือเมื่อแน่ใจแล้วว่าใจเปิด ใจสบาย ค่อยถามตัวเองว่าตอนนี้ร่างกายต้องการเรียกลมเข้าหรือยัง ตอนนี้ร่างกายต้องการระบายลมออกหรือเปล่า ตอนนี้ร่างกายต้องการพักลมหรือไม่

ด้วย อุบายสังเกตความต้องการของร่างกายเช่นนี้ ช่วยให้ผมหายใจตามจริง ไม่ใช่หายใจตามอยาก กับทั้งปล่อยให้ลมเกิดขึ้นตามควร ไม่ใช่บังคับลมยาวอยู่ตลอด ผิดจากความต้องการจริงของร่างกาย

ผลของการรู้ลมไปเรื่อยๆด้วยความสบาย คือ จิตจะพอใจ ไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่น เห็นเรื่องอื่นสำคัญน้อยกว่าลมหายใจเฉพาะหน้า

และ ความที่เริ่มฝึกจิตด้วยการมีพระพุทธเจ้าเป็นครูสอน เมื่อตระหนักว่าท่านสอนให้หมั่นพิจารณาความไม่เที่ยง ผมก็ฝึกดูลมโดยความเป็นของไม่เที่ยง ตรงนี้ต้องใช้เวลาจับจุดอยู่นานว่าเมื่อใดจึงควรพิจารณาว่าลมเป็นของไม่ เที่ยง เพราะเมื่อพยายามคิดๆนึกๆเอา เช่น ลมเป็นของภายนอก เข้ามาข้างในเดี๋ยวเดียวก็ต้องคืนกลับไป ไม่นานก็กลายเป็นฟุ้งซ่าน และไม่รู้สึกเลยว่าลมหายใจไม่เที่ยง

ต่อเมื่อสังเกตออกว่าถ้าเฝ้ารู้ลมว่าเดี๋ยวออก เดี๋ยวเข้า เดี๋ยวสั้น เดี๋ยวยาว โดยไม่คิดอะไรเพิ่มเติม กระทั่ง จิตสงบลงบ้าง จึงรู้สึกได้เองว่าลมหายใจไม่เที่ยง และแม้ไม่พิจารณาว่าลมหายใจสักแต่เป็นธาตุลม มีเพียงลักษณะพัดไหว ไม่มีบุคคลอยู่ในอาการพัดไหว ในที่สุดก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาเช่นนั้นได้เอง

แม้ จิตยังไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นสูง ผมก็เกิดประสบการณ์การรับรู้ที่แตกต่างไป หน้าตาและตัวตนคล้ายล่องหน มีแต่ความรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกตามจริง และคล้ายกับว่าลมหายใจรู้ตัวเองว่าเป็นสภาวะชั่วคราวอะไรอย่างหนึ่ง ไหลเข้าแล้วต้องไหลออก ชุดหนึ่งยาว อีกชุดหนึ่งสั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้

แม้ จับทางถูก จิตของผมก็ใช่จะมีกำลังสามารถรู้ลมได้ตลอดเวลา ก็ตกลงกับตัวเองว่ารู้ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น นึกได้เมื่อไรก็สังเกตไปเล่นๆเมื่อนั้น ไม่บังคับว่าต้องถี่ห่างขนาดไหน ปล่อยให้พัฒนาไปตามธรรมชาติดีกว่า


ผม พบว่าในชีวิตประจำวันมีโอกาสทำสมาธิได้บ่อย โดยเฉพาะเวลานั่งรถเมล์กลับบ้าน....



โดย... ดังตฤณ

บทความจาก... http://www.dlitemag.com
ขึ้นไปข้างบน Go down
http://livingroom.forum4her.com
 
ฝึกสติรู้ลมหายใจ ภาค1
ขึ้นไปข้างบน 
หน้า 1 จาก 1

Permissions in this forum:คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
livingroom :: ห้องพระ :: วิปัสสนาง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้-
ไปที่: